- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 21-27 สิงหาคม 2563
ข้าว
1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,390 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,481 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.62
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,372 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,196 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.91
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,130 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,250 ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 6.18
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 974 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,353บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 979 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,270 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 525 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,361บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 512ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,831 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.54 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 530 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 501 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,613 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,212 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.83 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 401 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,454 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,738 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.73 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตัน 716 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.1632 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม: ราคาข้าวเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
สมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association: VFA) รายงานว่า ราคาข้าวเวียดนามปรับตัวสูงขึ้น
ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2563 และมีบางช่วงเวลาราคาสูงกว่าข้าวไทย ข้อมูลล่าสุดของ VFA เมื่อวันที่ 10-16สิงหาคม 2563 แสดงให้เห็นว่า ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 493-497 ดอลลาร์สหรัฐ ไทยตันละ 473-477 ดอลลาร์สหรัฐ ปากีสถานตันละ 423-427 ดอลลาร์สหรัฐ และอินเดียตันละ 378-382 ดอลลาร์สหรัฐ
นาย Nguyen Van Dong ผู้อำนวยการบริษัท Viet Hung Rice Milling, Processing andTrading Company กล่าวว่า ขณะนี้ราคาส่งออกข้าวบางชนิดของเวียดนามสูงกว่าไทย สาเหตุหนึ่งมาจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย ประกอบกับการขาดแคลนข้าวขาว 5% ในตลาด ส่งผลให้ราคาข้าวชนิดดังกล่าวสูงขึ้น และปัจจัยสำคัญคือข้าวเวียดนามมีคุณภาพดีขึ้น
ข้าวเวียดนามหลายชนิดมีราคาดีขึ้น เช่น ข้าวพันธุ์ DT8 ราคาตันละ 570 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าราคาข้าว
ที่เพาะปลูกในปีที่แล้ว (ตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐ) และข้าวพันธุ์ OM5451 ราคาตันละ 540-550 ดอลลาร์สหรัฐ
สูงกว่าราคาข้าวที่เพาะปลูกในปีที่แล้ว (ตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ)
นาย Pham Thai Binh ผู้อำนวยการบริษัท Trung An Hi-Tech Agriculture JSC. ณ นครเกิ่นเทอ กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนาม (The European Union– Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA) นำผลประโยชน์มาสู่การส่งออกข้าวของเวียดนาม โดย EVFTA จะยกเว้นภาษีสำหรับข้าวขาวและข้าวหอมมะลิ
ของเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป จำนวนโควตา 80,000 ตันต่อปี ซึ่งจะทำให้ข้าวเวียดนามได้เปรียบในการแข่งขัน
ในตลาดสหภาพยุโรป ทั้งนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ข้าวเวียดนามในตลาดโลก ผู้ส่งออกข้าวเวียดนามต้องเจรจาราคา
ให้สอดคล้องกับมูลค่าและคุณภาพของข้าว และแบ่งปันผลกำไรกับผู้ปลูกข้าวเพื่อช่วยให้การผลิตและการส่งออกข้าว
ของเวียดนามพัฒนาอย่างยั่งยืน
นาย Tran Thanh Hai รองผู้อำนวยการสำนักงานการนำเข้า-ส่งออก ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามคาดการณ์ว่า ตลาดสหภาพยุโรปบริโภคข้าวประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี ในช่วงปี 2559-2563 อย่างไรก็ตาม
ในปี 2562 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปประมาณ 20,000 ตันต่อปี มูลค่า 10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
EVFTA เปิดโอกาสให้ข้าวเวียดนามขยายตัวในตลาดสหภาพยุโรป โดยมีภาษีส่งออกเป็นศูนย์สำหรับโควตา
ข้าวจำนวน 80,000 ตันต่อปี ซึ่งนาย Hai ได้ให้ข้อสังเกตว่า สหภาพยุโรปจะจัดสรรโควตานำเข้าข้าวให้กับผู้นำเข้าในสหภาพยุโรป ดังนั้น ผู้ส่งออกของเวียดนามต้องติดต่อผู้นำเข้าเชิงรุกด้วยโควตาที่จัดสรรไว้ให้ ซึ่งผู้ส่งออกข้าวเวียดนามสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของสหภาพยุโรปได้ที่ ec.europa.eu และเว็บไซต์ของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
เพื่อดูรายละเอียดโควตาที่มีการจัดสรร
สำหรับข้าวหอมมะลิ สหภาพยุโรปกำหนดให้เวียดนามต้องมีใบรับรองความถูกต้อง (authenticity certificate) เพื่อได้รับการยกเว้นภาษีส่งออก และนาย Hai กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าร่วมมือกับกระทรวงเกษตร
และพัฒนาชนบท เพื่อพัฒนาขั้นตอนให้ผู้ส่งออกข้าวเวียดนามลงทะเบียนรับรองความถูกต้อง จากสถิติของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามแสดงให้เห็นว่า ในช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2563 เวียดนามส่งออกข้าวไปต่างประเทศรวม
3.9 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 โดยฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดนำเข้าข้าวที่ใหญ่สุดของเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 37
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
มาเลเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของมาเลเซีย (Datuk Seri Dr Ronald Kiandee) ได้แถลงผลการพิจารณาของรัฐบาลมาเลเซีย
ที่จะให้ Padiberas Nasional Bhd (Bernas) ยังคงเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการอุปทานข้าว
ของประเทศ เพื่อให้การดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานเป็นไปได้อย่างราบรื่น ช่วยยกระดับการพึ่งตนเอง (SSL) สำหรับข้าวเปลือก และเพื่อประโยชน์แก่การเพาะปลูกข้าวทุกด้าน
รัฐบาลจะขยายสัมปทานการนำเข้าข้าวของ Bernas ออกไป โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกำหนดและเงื่อนไข
ในการขยายสัญญา ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมบทบาทหน้าที่ของ Bernas ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ในการดูแลเกษตรกรและภารกิจด้านการผลิตข้าว ทั้งนี้ Bernas ได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลการบริหารจัดการข้าวของมาเลเซียเพื่อป้องกันภาวะวิกฤตด้านอาหาร
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมข้าวในมาเลเซียถูกจัดการผ่านกลไก Single Gatekeeper Mechanism (SGM) เพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร และทำให้มั่นใจได้ว่ามีอุปทานคงที่ โดยในปี 2554 Bernas ได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการอุปทานข้าวของมาเลเซียเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งสัญญาจะสิ้นสุดในเดือนมกราคม 2564
ในปี 2551 ราคาข้าวในตลาดโลกที่สูงขึ้น ส่งผลให้ Bernas ประสบภาวะขาดทุน จึงเชื่อว่าสัญญาสัมปทาน
ฉบับใหม่จะคำนึงถึงความผันผวนของราคาข้าวในตลาดโลกด้วย
Datuk Seri Dr Ronald กล่าวว่า นโยบายอาหารและเกษตรแห่งชาติ (National Agro-FoodPolicy: NAFP) 2.0 จะเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยและส่งเสริมระบบอัตโนมัติ ตลอดจนการนำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น
เพื่อเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อีกทั้งรัฐบาลได้ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อกำกับดูแลและอำนวยความสะดวกด้านการกู้ยืมเงินอีกด้วย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวจะช่วยดึงดูดให้
คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเพาะปลูกข้าวของประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 รัฐบาลมาเลเซียได้จัดสรรเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรผ่านแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง Prihatin Rakyat และ NationalEconomic Recovery Plan โดยจัดสรรเงินจำนวน 190 ล้านริงกิต ภายใต้แผน Prihatin Rakyat ให้กับกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และ 62 ล้านริงกิต ให้กับ Farmers’ Organisation Authority (FOA) ซึ่ง FOA จะนำไปใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรของหน่วยงาน เพื่อยืดอายุให้เครื่องจักรสามารถใช้งานต่อไปได้อีก 3-5 ปี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชาวนาในประเทศประมาณ 65,000 คน
ปัจจุบันมีการจ้างงานแรงงานต่างชาติในภาคการเกษตรของมาเลเซียประมาณ 140,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดที่ได้รับใบอนุญาตทำงาน เนื่องจากก่อนหน้านี้ภาคการเกษตรมีการจ้างแรงงานต่างชาติเพียง 140,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 7.3 ของจำนวนแรงงานที่มีใบอนุญาตทำงานในมาเลเซีย ซึ่งมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่น โดยรัฐบาลจะพยายามดึงดูดคนหนุ่มสาวให้เข้ามาทำงานในภาคการเกษตรมากขึ้น
ทั้งนี้ การขยายสัมปทานให้ Bernas ยังคงเป็นผู้นำเข้าข้าวแต่เพียงผู้เดียวจะทำให้กลไกการนำเข้าข้าวของมาเลเซียยังคงผูกขาด และเป็นข้อจำกัดในการขยายตลาดข้าวของไทยในมาเลเซีย เนื่องจาก Bernas มีการจัดซื้อข้าวในรูปแบบ
การเปิดประมูล และผู้ที่มีสิทธิยื่นประมูลจะต้องอยู่ในรายชื่อที่ Bernas มีการกลั่นกรองและคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพ
ในการผลิตและจัดส่งข้าวได้ในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่
ปัจจุบันมาเลเซียลดการนำเข้าข้าวจากไทยเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-เมษายน) มาเลเซียมีการนำเข้าข้าวไทยเพียง 40,020 ตัน คิดเป็นมูลค่า 17.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 67.92 และร้อยละ 64.99 ตามลำดับ ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากราคาข้าวไทยที่สูงกว่าข้าวจากประเทศอื่น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ข้าวไทยเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ไทยจึงจำเป็น
ต้องมีการปรับตัวในเรื่องต้นทุนการผลิตอย่างจริงจัง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,390 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,481 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.62
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,372 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,196 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.91
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,130 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 14,250 ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 6.18
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 974 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,353บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 979 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,270 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 525 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,361บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 512ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,831 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.54 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 530 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 501 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,613 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,212 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.83 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 401 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 528 ดอลลาร์สหรัฐฯ (16,454 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,738 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.73 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตัน 716 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.1632 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม: ราคาข้าวเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
สมาคมอาหารเวียดนาม (Vietnam Food Association: VFA) รายงานว่า ราคาข้าวเวียดนามปรับตัวสูงขึ้น
ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2563 และมีบางช่วงเวลาราคาสูงกว่าข้าวไทย ข้อมูลล่าสุดของ VFA เมื่อวันที่ 10-16สิงหาคม 2563 แสดงให้เห็นว่า ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ตันละ 493-497 ดอลลาร์สหรัฐ ไทยตันละ 473-477 ดอลลาร์สหรัฐ ปากีสถานตันละ 423-427 ดอลลาร์สหรัฐ และอินเดียตันละ 378-382 ดอลลาร์สหรัฐ
นาย Nguyen Van Dong ผู้อำนวยการบริษัท Viet Hung Rice Milling, Processing andTrading Company กล่าวว่า ขณะนี้ราคาส่งออกข้าวบางชนิดของเวียดนามสูงกว่าไทย สาเหตุหนึ่งมาจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย ประกอบกับการขาดแคลนข้าวขาว 5% ในตลาด ส่งผลให้ราคาข้าวชนิดดังกล่าวสูงขึ้น และปัจจัยสำคัญคือข้าวเวียดนามมีคุณภาพดีขึ้น
ข้าวเวียดนามหลายชนิดมีราคาดีขึ้น เช่น ข้าวพันธุ์ DT8 ราคาตันละ 570 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าราคาข้าว
ที่เพาะปลูกในปีที่แล้ว (ตันละ 540 ดอลลาร์สหรัฐ) และข้าวพันธุ์ OM5451 ราคาตันละ 540-550 ดอลลาร์สหรัฐ
สูงกว่าราคาข้าวที่เพาะปลูกในปีที่แล้ว (ตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ)
นาย Pham Thai Binh ผู้อำนวยการบริษัท Trung An Hi-Tech Agriculture JSC. ณ นครเกิ่นเทอ กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนาม (The European Union– Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA) นำผลประโยชน์มาสู่การส่งออกข้าวของเวียดนาม โดย EVFTA จะยกเว้นภาษีสำหรับข้าวขาวและข้าวหอมมะลิ
ของเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป จำนวนโควตา 80,000 ตันต่อปี ซึ่งจะทำให้ข้าวเวียดนามได้เปรียบในการแข่งขัน
ในตลาดสหภาพยุโรป ทั้งนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ข้าวเวียดนามในตลาดโลก ผู้ส่งออกข้าวเวียดนามต้องเจรจาราคา
ให้สอดคล้องกับมูลค่าและคุณภาพของข้าว และแบ่งปันผลกำไรกับผู้ปลูกข้าวเพื่อช่วยให้การผลิตและการส่งออกข้าว
ของเวียดนามพัฒนาอย่างยั่งยืน
นาย Tran Thanh Hai รองผู้อำนวยการสำนักงานการนำเข้า-ส่งออก ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามคาดการณ์ว่า ตลาดสหภาพยุโรปบริโภคข้าวประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี ในช่วงปี 2559-2563 อย่างไรก็ตาม
ในปี 2562 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปประมาณ 20,000 ตันต่อปี มูลค่า 10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
EVFTA เปิดโอกาสให้ข้าวเวียดนามขยายตัวในตลาดสหภาพยุโรป โดยมีภาษีส่งออกเป็นศูนย์สำหรับโควตา
ข้าวจำนวน 80,000 ตันต่อปี ซึ่งนาย Hai ได้ให้ข้อสังเกตว่า สหภาพยุโรปจะจัดสรรโควตานำเข้าข้าวให้กับผู้นำเข้าในสหภาพยุโรป ดังนั้น ผู้ส่งออกของเวียดนามต้องติดต่อผู้นำเข้าเชิงรุกด้วยโควตาที่จัดสรรไว้ให้ ซึ่งผู้ส่งออกข้าวเวียดนามสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของสหภาพยุโรปได้ที่ ec.europa.eu และเว็บไซต์ของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
เพื่อดูรายละเอียดโควตาที่มีการจัดสรร
สำหรับข้าวหอมมะลิ สหภาพยุโรปกำหนดให้เวียดนามต้องมีใบรับรองความถูกต้อง (authenticity certificate) เพื่อได้รับการยกเว้นภาษีส่งออก และนาย Hai กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าร่วมมือกับกระทรวงเกษตร
และพัฒนาชนบท เพื่อพัฒนาขั้นตอนให้ผู้ส่งออกข้าวเวียดนามลงทะเบียนรับรองความถูกต้อง จากสถิติของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามแสดงให้เห็นว่า ในช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2563 เวียดนามส่งออกข้าวไปต่างประเทศรวม
3.9 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 โดยฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดนำเข้าข้าวที่ใหญ่สุดของเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 37
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
มาเลเซีย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของมาเลเซีย (Datuk Seri Dr Ronald Kiandee) ได้แถลงผลการพิจารณาของรัฐบาลมาเลเซีย
ที่จะให้ Padiberas Nasional Bhd (Bernas) ยังคงเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการอุปทานข้าว
ของประเทศ เพื่อให้การดำเนินการในห่วงโซ่อุปทานเป็นไปได้อย่างราบรื่น ช่วยยกระดับการพึ่งตนเอง (SSL) สำหรับข้าวเปลือก และเพื่อประโยชน์แก่การเพาะปลูกข้าวทุกด้าน
รัฐบาลจะขยายสัมปทานการนำเข้าข้าวของ Bernas ออกไป โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกำหนดและเงื่อนไข
ในการขยายสัญญา ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมบทบาทหน้าที่ของ Bernas ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ในการดูแลเกษตรกรและภารกิจด้านการผลิตข้าว ทั้งนี้ Bernas ได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลการบริหารจัดการข้าวของมาเลเซียเพื่อป้องกันภาวะวิกฤตด้านอาหาร
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมข้าวในมาเลเซียถูกจัดการผ่านกลไก Single Gatekeeper Mechanism (SGM) เพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร และทำให้มั่นใจได้ว่ามีอุปทานคงที่ โดยในปี 2554 Bernas ได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการอุปทานข้าวของมาเลเซียเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งสัญญาจะสิ้นสุดในเดือนมกราคม 2564
ในปี 2551 ราคาข้าวในตลาดโลกที่สูงขึ้น ส่งผลให้ Bernas ประสบภาวะขาดทุน จึงเชื่อว่าสัญญาสัมปทาน
ฉบับใหม่จะคำนึงถึงความผันผวนของราคาข้าวในตลาดโลกด้วย
Datuk Seri Dr Ronald กล่าวว่า นโยบายอาหารและเกษตรแห่งชาติ (National Agro-FoodPolicy: NAFP) 2.0 จะเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยและส่งเสริมระบบอัตโนมัติ ตลอดจนการนำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น
เพื่อเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อีกทั้งรัฐบาลได้ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อกำกับดูแลและอำนวยความสะดวกด้านการกู้ยืมเงินอีกด้วย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังกล่าวจะช่วยดึงดูดให้
คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการเพาะปลูกข้าวของประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 รัฐบาลมาเลเซียได้จัดสรรเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรผ่านแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง Prihatin Rakyat และ NationalEconomic Recovery Plan โดยจัดสรรเงินจำนวน 190 ล้านริงกิต ภายใต้แผน Prihatin Rakyat ให้กับกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และ 62 ล้านริงกิต ให้กับ Farmers’ Organisation Authority (FOA) ซึ่ง FOA จะนำไปใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรของหน่วยงาน เพื่อยืดอายุให้เครื่องจักรสามารถใช้งานต่อไปได้อีก 3-5 ปี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชาวนาในประเทศประมาณ 65,000 คน
ปัจจุบันมีการจ้างงานแรงงานต่างชาติในภาคการเกษตรของมาเลเซียประมาณ 140,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดที่ได้รับใบอนุญาตทำงาน เนื่องจากก่อนหน้านี้ภาคการเกษตรมีการจ้างแรงงานต่างชาติเพียง 140,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 7.3 ของจำนวนแรงงานที่มีใบอนุญาตทำงานในมาเลเซีย ซึ่งมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่น โดยรัฐบาลจะพยายามดึงดูดคนหนุ่มสาวให้เข้ามาทำงานในภาคการเกษตรมากขึ้น
ทั้งนี้ การขยายสัมปทานให้ Bernas ยังคงเป็นผู้นำเข้าข้าวแต่เพียงผู้เดียวจะทำให้กลไกการนำเข้าข้าวของมาเลเซียยังคงผูกขาด และเป็นข้อจำกัดในการขยายตลาดข้าวของไทยในมาเลเซีย เนื่องจาก Bernas มีการจัดซื้อข้าวในรูปแบบ
การเปิดประมูล และผู้ที่มีสิทธิยื่นประมูลจะต้องอยู่ในรายชื่อที่ Bernas มีการกลั่นกรองและคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพ
ในการผลิตและจัดส่งข้าวได้ในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่
ปัจจุบันมาเลเซียลดการนำเข้าข้าวจากไทยเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-เมษายน) มาเลเซียมีการนำเข้าข้าวไทยเพียง 40,020 ตัน คิดเป็นมูลค่า 17.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 67.92 และร้อยละ 64.99 ตามลำดับ ปัจจัยหลักเป็นผลมาจากราคาข้าวไทยที่สูงกว่าข้าวจากประเทศอื่น ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้ข้าวไทยเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ไทยจึงจำเป็น
ต้องมีการปรับตัวในเรื่องต้นทุนการผลิตอย่างจริงจัง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.35 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.61 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.42 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.93 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.06 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.43 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.05 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.20 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.73 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.46 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.19
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 311.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,704 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากตันละ 297.20 ดอลลาร์สหรัฐ (9,189 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.78 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 515 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 336.76 เซนต์ (4,189 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 326.36 เซนต์ (4,028 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.19 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 161 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.70 ล้านไร่ ผลผลิต 27.347 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.14 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 11.98 และร้อยละ 12.45 ตามลำดับ โดยเดือนสิงหาคม 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.50 ล้านตัน (ร้อยละ 1.76 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นและโรงเรียนแป้งมันสำปะหลังส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.75 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.72 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.74
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.48 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.08 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 9.87
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.99 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,791 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (7,730 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,805 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (13,697 บาทต่อตัน
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนสิงหาคมจะมีประมาณ 1.367 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.246 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.502 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.270 ล้านตัน ของเดือนกรกฎาคม คิดเป็นร้อยละ 8.99 และร้อยละ 8.89 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.39 บาท ลดลงจาก กก.ละ 3.60 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.83
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 19.23 บาท ลดลงจาก กก.ละ 19.85 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.12
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาน้ำมันปาล์มมาเลเซียตลาดซื้อขายล่วงหน้าสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันคู่แข่งเพิ่มสูงขึ้น ราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์ม เดือนพฤศจิกายน ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย สูงขึ้น 0.70 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 2,663 ริงกิต มาเลเซียส่งออกน้ำมันปาล์มระหว่างวันที่ 1 – 25 สิงหาคม ลดลง 16.40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 1,158,013 ตัน
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,764.43 ดอลลาร์มาเลเซีย (21.11 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,802.41 ดอลลาร์มาเลเซีย (21.18 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.36
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 686.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.69 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 693.13 ดอลลาร์สหรัฐฯ (21.73 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.96
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
- สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
สภาพอากาศที่แห้งแล้งในแถบตะวันตกตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ ของประเทศ คาดว่า สภาพอากาศที่แห้งแล้งจะทำให้คุณภาพของถั่วเหลืองลดลง และมีอุปทานลดลงในปี 2563/64 ซึ่ผลผลิตจะเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ฯ กล่าวว่า การขาดแคลนความชื้นของดินอยู่ในระดับสูงประมาณ 70% ในหลายพื้นที่ของแถบตะวันตกตอนกลางของประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2563) ซึ่งไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตพืชถั่วเหลืองมากนัก
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 914.08 เซนต์ (10.61 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 908.64 เซนต์ (10.47 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.60
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 291.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.21 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 294.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.24 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.11
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 32.12 เซนต์ (22.37 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 31.28 เซนต์ (21.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.69
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
สภาพอากาศที่แห้งแล้งในแถบตะวันตกตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตถั่วเหลืองอันดับต้น ๆ ของประเทศ คาดว่า สภาพอากาศที่แห้งแล้งจะทำให้คุณภาพของถั่วเหลืองลดลง และมีอุปทานลดลงในปี 2563/64 ซึ่ผลผลิตจะเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ฯ กล่าวว่า การขาดแคลนความชื้นของดินอยู่ในระดับสูงประมาณ 70% ในหลายพื้นที่ของแถบตะวันตกตอนกลางของประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2563) ซึ่งไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตพืชถั่วเหลืองมากนัก
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 914.08 เซนต์ (10.61 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 908.64 เซนต์ (10.47 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.60
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 291.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.21 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 294.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.24 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.11
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 32.12 เซนต์ (22.37 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 31.28 เซนต์ (21.61 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.69
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.75 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,059.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.01 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,068.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.04 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.86 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 930.20 ดอลลาร์สหรัฐ (28.99 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 938.20 ดอลลาร์สหรัฐ (29.01 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,059.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.01 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,068.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.04 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.86 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 575.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.92 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 579.80 ดอลลาร์สหรัฐ (17.93 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.83 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,246.60 ดอลลาร์สหรัฐ (38.85 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,257.40 ดอลลาร์สหรัฐ (38.88 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.86 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 42.83 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.63 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 23.68
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 26.53 บาทของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.66
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 64.72 เซนต์(กิโลกรัมละ 45.08 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 62.89 เซนต์ (กิโลกรัมละ 43.47 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.91 (สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.61 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,766 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,778 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.67
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,419 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,450 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.14
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 883 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดในภาวะปกติ ขณะที่ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาและความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น เพราะเข้าสู่เทศกาลสารทจีน
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 78.10 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 77.50 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.77 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.75 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.04 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 80.73 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 78.60 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อและชิ้นส่วนต่างๆของไก่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคชะลอตัวลงเล็กน้อย แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย จากความต้องการบริโภคที่อาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลสารทจีน
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.82 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.89บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.20 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 34.07 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 43.17 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 8.50 บาท ลดลงจากตัวละ 10.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 19.05
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
แม้ว่าตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษาจะเปิดภาคเรียนเต็มรูปแบบซึ่งคาดว่าราคาและความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น แต่จากผลผลิตไข่ไก่แต่ในท้องตลาดยังคงมีมากและสะสมจากที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้อ่อนตัวลงเล็กน้อย แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 289 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 291 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.69 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 298 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 279 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 290 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 325 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 344 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 341 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.88 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 352 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 361 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 320 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 94.69 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 94.32 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.39 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.62 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 98.46 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 86.54 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 75.81 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 74.41 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.88 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.96 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ตารางปศุสัตว์ ราคาเกษตรกรขายได้ ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ และราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 21 – 27 สิงหาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.70 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.20 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 139.93 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.73 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.12 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.28 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.02 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 21 – 27 สิงหาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 83.70 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 84.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.20 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 139.93 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.73 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 73.12 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.28 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.02 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา